ผ้าปูที่นอนชนิด TC, CVC และ Cotton มีความแตกต่างกันดังนี้ครับ

• Cotton (ผ้าฝ้าย 100%)

  • คุณสมบัติ: ให้สัมผัสที่นุ่มสบาย ระบายอากาศได้ดีเยี่ยม เหมาะกับสภาพอากาศร้อน

  • ข้อดี: นุ่ม ยิ่งซักยิ่งนุ่ม ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ ระบายอากาศและความร้อนได้ดีเยี่ยม

  • ข้อเสีย: ยับง่าย ดูแลรักษายาก ต้องรีดอย่างพิถีพิถัน ราคาค่อนข้างสูง

  • ความเหมาะสมสำหรับโรงแรม: เหมาะสำหรับโรงแรมหรูที่เน้นความสบายของลูกค้าและสามารถลงทุนในการดูแลรักษาผ้าได้สูง

• TC (Polyester 65% + Cotton 35%)

  • คุณสมบัติ: เป็นผ้าผสมที่มีส่วนผสมของโพลีเอสเตอร์มากกว่า ทำให้มีราคาถูก

  • ข้อดี: ยับยาก ไม่จำเป็นต้องรีด ดูแลง่าย ทนทานต่อการซักและน้ำยาฟอกขาวได้ดี

  • ข้อเสีย: เนื้อผ้าค่อนข้างแข็ง ไม่นุ่มเท่าผ้าฝ้าย ระบายอากาศได้ไม่ดีเท่าผ้าฝ้าย

  • ความเหมาะสมสำหรับโรงแรม: เหมาะสำหรับโรงแรมหรือรีสอร์ทที่ต้องการควบคุมต้นทุน ห้องพักรายวัน รายชั่วโมง หรือในพื้นที่ที่น้ำประปามีปัญหา

• CVC (Cotton 50% ขึ้นไป + Polyester) หรือ (Cotton 60% + Polyester 40%)

  • คุณสมบัติ: เป็นผ้าผสมที่มีส่วนผสมของผ้าฝ้ายมากกว่า ทำให้ได้ความนุ่มและคุณสมบัติที่ดีของผ้าฝ้าย

  • ข้อดี: นุ่มกว่าผ้า TC ยับไม่มาก ดูแลง่ายกว่าผ้าฝ้าย ระบายอากาศได้ดีกว่าผ้า TC

  • ข้อเสีย: ระบายอากาศได้ไม่ดีเท่าผ้าฝ้าย 100% ราคาแพงกว่าผ้า TC เล็กน้อย

  • ความเหมาะสมสำหรับโรงแรม: เหมาะสำหรับโรงแรมระดับ 1-3 ดาวที่ต้องการผ้าที่มีความนุ่มสบายพอประมาณ แต่ยังดูแลรักษาง่าย

สรุป: ควรเลือกแบบไหนสำหรับโรงแรม?

การเลือกผ้าปูที่นอนที่เหมาะสมสำหรับโรงแรมควรพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้:

1. งบประมาณ: ผ้า TC มีราคาถูกที่สุด ในขณะที่ผ้า Cotton มีราคาสูงที่สุด

2. ประเภทของโรงแรมและกลุ่มลูกค้า:

   • โรงแรมหรู (Luxury Hotels): ควรเลือกใช้ผ้าฝ้าย (Cotton 100%) ที่มีจำนวนเส้นด้ายสูง (400-600 เส้นขึ้นไป) เพื่อให้ลูกค้าได้รับความรู้สึกนุ่มสบายที่สุด

   • โรงแรมทั่วไป: สามารถเลือกใช้ผ้า CVC หรือผ้าฝ้าย (Cotton) ที่มีจำนวนเส้นด้าย 200-300 เส้น เพื่อให้ได้ความนุ่มและดูแลรักษาง่าย

   • ห้องพักรายวัน/รีสอร์ทราคาไม่แพง: ผ้า TC เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า เนื่องจากทนทาน ดูแลง่าย และราคาถูก

3. การดูแลรักษา: หากมีข้อจำกัดเรื่องการซักรีดและงบประมาณในการดูแลรักษา ควรเลือกผ้าที่มีส่วนผสมของโพลีเอสเตอร์เพื่อความทนทานและยับยาก